Tag: ข่าวกีฬาวันนี้
- 0
ประวัติ พอล แมคเวก์ สโมสรนอริช ซิตี้ ทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ

พอล แมคเวก์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 1977 ที่กรุงเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้า เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร สเปอร์ ในปี 1996
ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ นอริช ซิตี้ ในปี 2000 เขายิง 10 ประตูในฤดูกาลแรก ก่อนจะมาซัดอีก 15 ประตูในฤดูกาล 2002/2003 และตามมาด้วย 5ประตูจาก 40 นัด ในฤดูกาล 2003/2004
ซึ่งตอนนี้เขาถูกถอยมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ และมีส่วนสำคัญในการพา นอริช ซิตี้ ขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2004/2005 เขาได้ลงสนาม 20 นัดในพรีเมียร์ลีก ไฮไลท์สำคัญคือการบุกไปยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงโอลแทรฟฟอร์ด แต่สุดท้าย นอริช แพ้ไป 1-2 และจบฤดูกาลนั้น นอริช จบที่อันดับ 19 ตกชั้นกลับไปเล่นเดอะแชมป์เปียนชิพอีกครั้ง
ช่วงปี 2007 พอล แมคเวก์ ไปซ้อมอยู่กับปิซ่า ทีมในกัลโช่ ซีเรียบี ของอิตาลี ปิซ่า มีแผนจะเซ็นต์สัญญาระยะสั้น 6เดือนกับเขา แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษ
เข้าสู่ฤดูกาล 2007/2008 พอล แมคเวก์ เลือกย้ายไปอยู่กับ ลูตั้น ทาวน์ อยู่กับทีมถึงปี 2009
ได้ลงสนามในลีก 38 นัด ก่อนจะตัดสินใจกลับมาเล่นที่ นอริช ซิตี้ ซึ่งตอนนี้เป็นทีมในลีกวัน กลับมารอบนี้เขาไม่ได้เป็นตัวหลักของทีมแล้ว เขาประเดิมสนามในการกลับมาด้วยชัยชนะเหนือ วีคอมป์ 5-2 นอริชทำสถิติไร้พ่าย 20 นัด แต่ทั้งฤดูกาลเขาได้เล่นในลีกแค่ 9นัด ซึ่งฤดูกาลนั้น นอริช คว้าแชมป์ลีกวัน เลื่อนชั้นไปเล่นในเดอะแชมป์เปียนชิพ แต่พอล แมคเวก์ ประกาศเลิกเล่นหลังจากจบฤดูกาลนั้น
พอล แมคเวก์ ติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี 10 นัด และติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือชุดใหญ่ 20 นัด เขาได้ลงสนามนัดแรก ในเดือนเมษายน ปี 1999 ซึ่งไอร์แลนด์เหนือ เสมอกับ แคนาดา 1-1
- 0
อาชีพนักฟุตบอล หลัง เลิกค้าแข้ง
ถือว่าตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงครบรอบการสร้างประวัติศาสตร์ “ทริปเปิ้ลแชมป์” ของเหล่าขุนพลแข้ง “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากการไล่กวาดถ้วยแชมป์ 3 รายการใหญ่เมื่อฤดูกาล 1998/1999 ไล่ตั้งแต่ แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอเอฟ คัพ รวมถึง แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งได้สร้างปฏิหาริย์ยิงแซงชนะ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของนัดชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อ 21 ปีที่แล้วในวันที่ 26 พ.ค.นั่นเอง โดยยังคงจารึกชื่อเป็นทีมแรกและทีมเดียวของเกาะอังกฤษที่ทำแบบนี้ได้อีกด้วย ลองไปดูกันว่าตอนนี้ 11 นักเตะตัวจริงจากเกมนัดชิงได้หันไป “รับจ๊อบ” ทำอะไรกันในช่วงหลัง “แขวนสตั๊ด” เลิกอาชีพค้าแข้งไปแล้ว
รวมเหล่านักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กในวัย 56 ปี หลังอำลา “ผีแดง” มีหน้าตาโผล่ทางหน้าจอโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ เพราะรับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอลตามช่องต่างๆ อยู่เป็นประจำ
แกรี่ เนวิลล์ ยอดแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงมีชื่อปรากฎตามหน้าสื่อแบบต่อเนื่อง เพราะรับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมลูกหนังทาง สกายสปอร์ต สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่แห่งเมืองผู้ดี
รอนนี่ ยอห์นเซ่น อดีตกองหลังทีมชาตินอร์เวย์ในวัย 50 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ไม่ได้รับจ็อบวงการฟุุตบอลอีกเลย เพราะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด แต่ยังคงมาร่วมโชว์ฝีเท้ากับ “ปีศาจแดง” ในเกมการกุศลอยู่บ่อยๆ
ยาป สตัม อดีตกองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ในวัย 47 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ผันตัวเองมาทำหน้าที่เป็นกุนซือ และพเนจรลงเท้าจากการเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ แต่เพิ่งรับจ็อบคุมทัพ ซินซินนาติ ในสหรัฐอเมริกา
เดนิส เออร์วิน อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติไอร์แลนด์ในวัย 54 ปี ตอนเป็นนักเตะ “ผีแดง” ดูเป็นคนเงียบๆ แต่หันมารับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมลูกหนังให้กับ RTE สถานีโทรทัศน์ในบ้านเกิด
ไรอัน กิ๊กส์ อดีตปีกทีมชาติเวลส์ในวัย 46 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงคลุกคลีกับวงการฟุตบอลในหลายบทบาท และหันมารับงานคุมทีมลูกหนังด้วย โดยตอนนี้รับจ็อบเป็นกุนซือทีมชาติเวลส์ให้บ้านเกิดของตัวเอง
นิกกี้ บัตต์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ผันตัวเองมาทำหน้าที่โค้ช แต่เน้นไปที่งานดูแลนักเตะเยาวชน ปัจจุบันรับจ็อบกับ “ปีศาจแดง” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาทีมชุดใหญ่
เดวิด เบ็คแฮม อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงหล่อเนี๊ยบเหมือนเดิม และหันมารับจ็อบในฐานะนักธุรกิจเป็นเจ้าของสโมสร อินเตอร์ ไมอามี่ ทีมน้องใหม่ในสหรัฐอเมริกา
เจสเปอร์ บลอมควิสต์ อดีตปีกทีมชาติสวีเดนในวัย 46 ปี หลังอำลา “ผีแดง” รับจ๊อบเป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอลให้ TV4 สถานีโทรทัศน์ในบ้านเกิด และมีธุรกิจเป็นร้านพิซซ่าในกรุงสตอกโฮล์มด้วย
แอนดี้ โคล อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษในวัย 48 ปี ยังคงรับจ็อบกับ “ผีแดง” ในฐานะฑูตฟุตบอลสอนฟุตบอลให้เยาวชน และร่วมงานการกุศลต่างๆ อยู่เป็นประจำ
ดไวท์ ยอร์ค อดีตกองหน้าทีมชาติตรินิแดดและโตเบโกในวัย 48 ปี เคยเกือบล้มละลายเมื่อปีก่อน และยังคงรับจ็อบกับ “ผีแดง” ในฐานะฑูตฟุตบอลเช่นกัน

พบกับข่าวกีฬาเด่นรอบโลกได้ที่นี่
- 0
ประวัติและผลงานของ สตีเฟ่น คลีเมนต์ สโมสรเบอร์มิงแฮม

สตีเฟ่น คลีเมนต์ เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ปี 1978 ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองกลาง เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับ สโมสร ทอตแนมฮอต สเปอร์ ในปี 1994 ก่อนจะได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ สเปอร์ ในปี 1997
ฤดูกาล 1998/1999 สตีเฟ่น คลีเมนต์ ได้ลงสนาม 21 นัดรวมทุกรายการ เขามีส่วนร่วมในการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกคัพ ซึ่งเขาได้ลงสนาม 3 นัดในรายการนั้น แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในนัดชิงชนะเลิศ ที่สเปอร์ เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เข้าสู่ฤดูกาล 2000/2001 สตีเฟ่น คลีเมนต์ กลายเป็นตัวหลักของสเปอร์ เขาได้ลงสนาม 35 นัดรวมทุกรายการ แต่โชคร้ายที่ในฤดูกาลถัดมาเขาได้รับบาดเจ็บได้ลงสนามแค่ 6นัดเท่านั้น อาการบาดเจ็บส่งผลมาถึงฤดูกาล 2002/2003 เขาได้ลงสนามเพียงแค่นัดเดียว และเลือกย้ายไปอยู่กับ เบอร์มิงแฮม
กลางฤดูกาล 2002/2003 สตีเฟ่น คลีเมนต์ ย้ายไปเล่นกับเบอร์มิงแฮม ด้วยค่าตัว 1.3 ล้านปอนด์
เขากลายเป็นกำลังสำคัญของทีมในทันที และในฤดูกาล 2003/2004 เขาได้ลงสนาม 35 นัด ยิง 3ประตู ช่วยให้เบอร์มิงแฮม จบอันดับที่10 ในพรีเมียร์ลีก หลังจากนั้นในฤดูกาล 2005/2006 เขาได้ลงสนาม 15 นัดในพรีเมียร์ลีก เบอร์มิงแฮมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 18 ตกชั้นลงไปเล่นใน เดอะแชมป์เปียนชิพ และเขาก็ยังอยู่เล่นกับทีมในฤดูกาลต่อมา และมีส่วนสำคัญในการพาทีมกลับขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาลเดียว โดยเขาได้ลงเล่นในฤดูกาล 2006/2007 จำนวน 35 นัด พาเบอร์มิงแฮม จบอันดับ2 เดอะแชมป์เปียนชิพ
สตีเฟ่น คลีเมนต์ ย้ายสโมสร
หลังจากนั้นสตีเฟ่น คลีเมนต์ ตัดสินใจ ย้ายไปอยู่กับเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในลีกแชมป์เปียนชิพ ในฤดูกาล 2007/2008 และกลายเป็นกำลังสำคัญของเลสเตอร์ ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมของเลสเตอร์ทันทีในฤดูกาลแรก ลงสนาม 34 นัด ยิง 3 ประตู แต่ไม่ช่วยให้เลสเตอร์หนีการตกชั้นชั้นได้
ส่งผลให้เลสเตอร์ ซิตี้ หล่นลงไปเล่นลีกวัน ในฤดูกาล 2008/2009
เขายังลงไปเล่นลีกวันกับทีมในฤดูกาลต่อมา แต่โชคร้ายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และไม่ได้ลงสนามให้กับทีมเลยตลอด 2 ฤดูกาลต่อมา และประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากนั้น
- 0
ประวัติ ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น
ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 1972 ที่เมืองเซาแธมตั้น ประเทศอังกฤษ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่ง กองกลาง เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร ปอร์ทสมัธ ในปี 1990 ผลงานที่ดีที่สุดคือการพา ปอร์ทสมัธ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ในปี 1992 ก่อนจะแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล และหลังจากปีนั้นเขาก็ย้ายออกจากทีม ไปอยู่กับ สเปอร์

ปี 1992 ทอตแนมฮอท สเปอร์ส จ่ายเงิน 1.75 ล้านปอนด์ คว้าตัว ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น มาร่วมทีม
เขาสามารถยึดตัวหลักของทีมได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก เขาลงเล่นเป็น 3 ประสานกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ นิค บาร์มบี้ ได้อย่างลงตัว ซึ่งฤดูกาลแรกเขาได้ลงสนาม 41 นัด ยิง 8 ประตู สเปอร์สจบที่8
ในพรีเมียร์ลีก และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ
เข้าสู่ฤดูกาล 1998/1999 ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามทั้งหมด 46 นัด ยิงได้ 5 ประตู
ฤดูกาลนั้นสเปอร์จบอันดับที่11 ในพรีเมียร์ลีก ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพ และสอยแชมป์ลีกคัพมาครองได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ซึ่ง ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามเป็นตัวจริง และลงเล่นครบ 90 นาที ภายหลังจากฤดูกาลนั้น เขาอยู่กับทีมไปถึงปี 2003
ไดลงสนามให้ทีมทั้งหมด 358 นัด ยิง 48 ประตู ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เบอร์มิงแฮม,วูล์ฟแธมตั้น
และ บอร์นมัธ เป็นทีมสุดท้ายในปี 2006-2009
ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ติดทีมชาติอังกฤษ 30 นัด ยิง 7 ประตู เขามีส่วนร่วมกับทีมชาติอังกฤษ ชุดฟุตบอลยูโร 1996 ซึ่งครั้งนั้นอังกฤษผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนแพ้ เยอรมัน ในการดวลจุดโทษ 5-6 ซึ่ง ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามเป็นตัวจริงนอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก ปี 1998 และ ฟุตบอลยูโร ปี 2000 ด้วย
ข่าวฟุตบอล อัพเดทข่าวฟุตบอลได้ที่นี่
- 0
หากพูดถึงมหกรรมฟุตบอลโลกนั้น แน่นอนว่าเป็นมหกรรมฟุตบอลที่แฟนบอลทั้งโลกรอคอย ซึ่งมหกรรมฟุตบอลโลกนั้นมีกระแสตอบรับที่ดีในทุกๆปี รวมไปถึงมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2006 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีเหตุการณ์ต่างๆให้พูดถึงมากมาย แต่ไฮไลท์ของฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ไม่ใช่การคว้าแชมป์ของทีมชาติอิตาลี แต่เป็นเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก ในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนั้น วันนี้เราจะย้อนเวลากลับไปในมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2006 ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

เหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2006
เหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก นั้นเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2006 ในนัดชิงชนะเลิศ โดยเป็นการมาเจอกันของ 2 ยอดทีมแห่งยุโรป ทีมชาติฝรั่งเศสที่นำทัพมาโดย ซีเนอร์ดีน ซีดาน จอมทัพมากประสบการณ์ ที่ประกาศกร้าวจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเพื่อปิดฉากอาชีพฟุตบอลของเขา โคจรมาพบกับทีมชาติอิตาลี ที่แน่นไปด้วยเหล่าซุปเปอร์สตาร์ทุกตำแหน่ง เรียกได้ว่าเป็นฟุตบอลคู่หยุดโลกก็ว่าได้ โดยเกมในนัดนั้นเหมือนว่าจะเป็นใจให้กับ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดยเขายิงประตูขึ้นนำให้กับทีมชาติฝรั่งเศสในช่วงต้นเกม แต่แล้วทีมชาติอิตาลีก็ได้ความเก๋าเกมของ มาร์โก มาเตรัซซี่ ยิงประตูตีเสมอ จนต้องต่อเวลาพิเศษ

และในช่วงต่อเวลาพิเศษนี่เองที่เป็นฝันร้ายของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน แทนที่มันจะเป็นการปิดฉากอาชีพที่สวยงามของเขา แต่กลับกลายเป็นวันที่ มาร์โก มาเตรัซซี่ กลายเป็นฮีโร่ โดยขณะที่เกมในสนามกำลังสนุกและสูสี มาร์โก มาเตรัซซี่ ได้เข้าไปยั่วยุ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดยใช้วาจาที่หยาบคายกล่าวล่วงเกินคุณแม่และพี่สาวของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน ทำให้ซีดานทนไม่ไหว เอาหัวโขกเข้าไปที่หน้าอกของ มาร์โก มาเตรัซซี่ จนเกิดเป็นเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดนไล่ออกจากสนามทันที และส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสแพ้ทีมชาติอิตาลีในการดวลลูกจุดโทษในท้ายที่สุด

ฝันร้ายของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน ฟุตบอลโลกปี 2006
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นฝันร้ายที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน แทนที่เขาจะได้ปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลอย่างสวยหรู กลับต้องมาเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอล เนื่องจากเป็นตัวการทำให้ทีมเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ทำให้ทีมพ่ายแพ้ไปในที่สุด และถึงแม้ว่าเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก จะผ่านมานานกว่า 14 ปีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงเป็นที่พูดถึงของแฟนบอลทั่วโลกจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้
ประวัติ ซีเนอร์ดีน ซีดาน
ติดตามข่าวบอลที่คุณไม่ควรพลาดได้ที่นี่