Month: May 2020
- 0
ประวัติ พอล แมคเวก์ สโมสรนอริช ซิตี้ ทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ

พอล แมคเวก์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 1977 ที่กรุงเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้า เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร สเปอร์ ในปี 1996
ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ นอริช ซิตี้ ในปี 2000 เขายิง 10 ประตูในฤดูกาลแรก ก่อนจะมาซัดอีก 15 ประตูในฤดูกาล 2002/2003 และตามมาด้วย 5ประตูจาก 40 นัด ในฤดูกาล 2003/2004
ซึ่งตอนนี้เขาถูกถอยมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ และมีส่วนสำคัญในการพา นอริช ซิตี้ ขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2004/2005 เขาได้ลงสนาม 20 นัดในพรีเมียร์ลีก ไฮไลท์สำคัญคือการบุกไปยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงโอลแทรฟฟอร์ด แต่สุดท้าย นอริช แพ้ไป 1-2 และจบฤดูกาลนั้น นอริช จบที่อันดับ 19 ตกชั้นกลับไปเล่นเดอะแชมป์เปียนชิพอีกครั้ง
ช่วงปี 2007 พอล แมคเวก์ ไปซ้อมอยู่กับปิซ่า ทีมในกัลโช่ ซีเรียบี ของอิตาลี ปิซ่า มีแผนจะเซ็นต์สัญญาระยะสั้น 6เดือนกับเขา แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษ
เข้าสู่ฤดูกาล 2007/2008 พอล แมคเวก์ เลือกย้ายไปอยู่กับ ลูตั้น ทาวน์ อยู่กับทีมถึงปี 2009
ได้ลงสนามในลีก 38 นัด ก่อนจะตัดสินใจกลับมาเล่นที่ นอริช ซิตี้ ซึ่งตอนนี้เป็นทีมในลีกวัน กลับมารอบนี้เขาไม่ได้เป็นตัวหลักของทีมแล้ว เขาประเดิมสนามในการกลับมาด้วยชัยชนะเหนือ วีคอมป์ 5-2 นอริชทำสถิติไร้พ่าย 20 นัด แต่ทั้งฤดูกาลเขาได้เล่นในลีกแค่ 9นัด ซึ่งฤดูกาลนั้น นอริช คว้าแชมป์ลีกวัน เลื่อนชั้นไปเล่นในเดอะแชมป์เปียนชิพ แต่พอล แมคเวก์ ประกาศเลิกเล่นหลังจากจบฤดูกาลนั้น
พอล แมคเวก์ ติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี 10 นัด และติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือชุดใหญ่ 20 นัด เขาได้ลงสนามนัดแรก ในเดือนเมษายน ปี 1999 ซึ่งไอร์แลนด์เหนือ เสมอกับ แคนาดา 1-1
- 0
อาชีพนักฟุตบอล หลัง เลิกค้าแข้ง
ถือว่าตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงครบรอบการสร้างประวัติศาสตร์ “ทริปเปิ้ลแชมป์” ของเหล่าขุนพลแข้ง “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากการไล่กวาดถ้วยแชมป์ 3 รายการใหญ่เมื่อฤดูกาล 1998/1999 ไล่ตั้งแต่ แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอเอฟ คัพ รวมถึง แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งได้สร้างปฏิหาริย์ยิงแซงชนะ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของนัดชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อ 21 ปีที่แล้วในวันที่ 26 พ.ค.นั่นเอง โดยยังคงจารึกชื่อเป็นทีมแรกและทีมเดียวของเกาะอังกฤษที่ทำแบบนี้ได้อีกด้วย ลองไปดูกันว่าตอนนี้ 11 นักเตะตัวจริงจากเกมนัดชิงได้หันไป “รับจ๊อบ” ทำอะไรกันในช่วงหลัง “แขวนสตั๊ด” เลิกอาชีพค้าแข้งไปแล้ว
รวมเหล่านักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กในวัย 56 ปี หลังอำลา “ผีแดง” มีหน้าตาโผล่ทางหน้าจอโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ เพราะรับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอลตามช่องต่างๆ อยู่เป็นประจำ
แกรี่ เนวิลล์ ยอดแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงมีชื่อปรากฎตามหน้าสื่อแบบต่อเนื่อง เพราะรับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมลูกหนังทาง สกายสปอร์ต สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่แห่งเมืองผู้ดี
รอนนี่ ยอห์นเซ่น อดีตกองหลังทีมชาตินอร์เวย์ในวัย 50 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ไม่ได้รับจ็อบวงการฟุุตบอลอีกเลย เพราะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด แต่ยังคงมาร่วมโชว์ฝีเท้ากับ “ปีศาจแดง” ในเกมการกุศลอยู่บ่อยๆ
ยาป สตัม อดีตกองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ในวัย 47 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ผันตัวเองมาทำหน้าที่เป็นกุนซือ และพเนจรลงเท้าจากการเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ แต่เพิ่งรับจ็อบคุมทัพ ซินซินนาติ ในสหรัฐอเมริกา
เดนิส เออร์วิน อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติไอร์แลนด์ในวัย 54 ปี ตอนเป็นนักเตะ “ผีแดง” ดูเป็นคนเงียบๆ แต่หันมารับจ็อบเป็นนักวิจารณ์เกมลูกหนังให้กับ RTE สถานีโทรทัศน์ในบ้านเกิด
ไรอัน กิ๊กส์ อดีตปีกทีมชาติเวลส์ในวัย 46 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงคลุกคลีกับวงการฟุตบอลในหลายบทบาท และหันมารับงานคุมทีมลูกหนังด้วย โดยตอนนี้รับจ็อบเป็นกุนซือทีมชาติเวลส์ให้บ้านเกิดของตัวเอง
นิกกี้ บัตต์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ผันตัวเองมาทำหน้าที่โค้ช แต่เน้นไปที่งานดูแลนักเตะเยาวชน ปัจจุบันรับจ็อบกับ “ปีศาจแดง” ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาทีมชุดใหญ่
เดวิด เบ็คแฮม อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษในวัย 45 ปี หลังอำลา “ผีแดง” ยังคงหล่อเนี๊ยบเหมือนเดิม และหันมารับจ็อบในฐานะนักธุรกิจเป็นเจ้าของสโมสร อินเตอร์ ไมอามี่ ทีมน้องใหม่ในสหรัฐอเมริกา
เจสเปอร์ บลอมควิสต์ อดีตปีกทีมชาติสวีเดนในวัย 46 ปี หลังอำลา “ผีแดง” รับจ๊อบเป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอลให้ TV4 สถานีโทรทัศน์ในบ้านเกิด และมีธุรกิจเป็นร้านพิซซ่าในกรุงสตอกโฮล์มด้วย
แอนดี้ โคล อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษในวัย 48 ปี ยังคงรับจ็อบกับ “ผีแดง” ในฐานะฑูตฟุตบอลสอนฟุตบอลให้เยาวชน และร่วมงานการกุศลต่างๆ อยู่เป็นประจำ
ดไวท์ ยอร์ค อดีตกองหน้าทีมชาติตรินิแดดและโตเบโกในวัย 48 ปี เคยเกือบล้มละลายเมื่อปีก่อน และยังคงรับจ็อบกับ “ผีแดง” ในฐานะฑูตฟุตบอลเช่นกัน

พบกับข่าวกีฬาเด่นรอบโลกได้ที่นี่
- 0
ประวัติและผลงานของ สตีเฟ่น คลีเมนต์ สโมสรเบอร์มิงแฮม

สตีเฟ่น คลีเมนต์ เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ปี 1978 ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองกลาง เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับ สโมสร ทอตแนมฮอต สเปอร์ ในปี 1994 ก่อนจะได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ สเปอร์ ในปี 1997
ฤดูกาล 1998/1999 สตีเฟ่น คลีเมนต์ ได้ลงสนาม 21 นัดรวมทุกรายการ เขามีส่วนร่วมในการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกคัพ ซึ่งเขาได้ลงสนาม 3 นัดในรายการนั้น แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในนัดชิงชนะเลิศ ที่สเปอร์ เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เข้าสู่ฤดูกาล 2000/2001 สตีเฟ่น คลีเมนต์ กลายเป็นตัวหลักของสเปอร์ เขาได้ลงสนาม 35 นัดรวมทุกรายการ แต่โชคร้ายที่ในฤดูกาลถัดมาเขาได้รับบาดเจ็บได้ลงสนามแค่ 6นัดเท่านั้น อาการบาดเจ็บส่งผลมาถึงฤดูกาล 2002/2003 เขาได้ลงสนามเพียงแค่นัดเดียว และเลือกย้ายไปอยู่กับ เบอร์มิงแฮม
กลางฤดูกาล 2002/2003 สตีเฟ่น คลีเมนต์ ย้ายไปเล่นกับเบอร์มิงแฮม ด้วยค่าตัว 1.3 ล้านปอนด์
เขากลายเป็นกำลังสำคัญของทีมในทันที และในฤดูกาล 2003/2004 เขาได้ลงสนาม 35 นัด ยิง 3ประตู ช่วยให้เบอร์มิงแฮม จบอันดับที่10 ในพรีเมียร์ลีก หลังจากนั้นในฤดูกาล 2005/2006 เขาได้ลงสนาม 15 นัดในพรีเมียร์ลีก เบอร์มิงแฮมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 18 ตกชั้นลงไปเล่นใน เดอะแชมป์เปียนชิพ และเขาก็ยังอยู่เล่นกับทีมในฤดูกาลต่อมา และมีส่วนสำคัญในการพาทีมกลับขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาลเดียว โดยเขาได้ลงเล่นในฤดูกาล 2006/2007 จำนวน 35 นัด พาเบอร์มิงแฮม จบอันดับ2 เดอะแชมป์เปียนชิพ
สตีเฟ่น คลีเมนต์ ย้ายสโมสร
หลังจากนั้นสตีเฟ่น คลีเมนต์ ตัดสินใจ ย้ายไปอยู่กับเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในลีกแชมป์เปียนชิพ ในฤดูกาล 2007/2008 และกลายเป็นกำลังสำคัญของเลสเตอร์ ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมของเลสเตอร์ทันทีในฤดูกาลแรก ลงสนาม 34 นัด ยิง 3 ประตู แต่ไม่ช่วยให้เลสเตอร์หนีการตกชั้นชั้นได้
ส่งผลให้เลสเตอร์ ซิตี้ หล่นลงไปเล่นลีกวัน ในฤดูกาล 2008/2009
เขายังลงไปเล่นลีกวันกับทีมในฤดูกาลต่อมา แต่โชคร้ายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และไม่ได้ลงสนามให้กับทีมเลยตลอด 2 ฤดูกาลต่อมา และประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากนั้น
- 0
ประวัติ ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น
ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 1972 ที่เมืองเซาแธมตั้น ประเทศอังกฤษ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่ง กองกลาง เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร ปอร์ทสมัธ ในปี 1990 ผลงานที่ดีที่สุดคือการพา ปอร์ทสมัธ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ในปี 1992 ก่อนจะแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล และหลังจากปีนั้นเขาก็ย้ายออกจากทีม ไปอยู่กับ สเปอร์

ปี 1992 ทอตแนมฮอท สเปอร์ส จ่ายเงิน 1.75 ล้านปอนด์ คว้าตัว ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น มาร่วมทีม
เขาสามารถยึดตัวหลักของทีมได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก เขาลงเล่นเป็น 3 ประสานกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ นิค บาร์มบี้ ได้อย่างลงตัว ซึ่งฤดูกาลแรกเขาได้ลงสนาม 41 นัด ยิง 8 ประตู สเปอร์สจบที่8
ในพรีเมียร์ลีก และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ
เข้าสู่ฤดูกาล 1998/1999 ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามทั้งหมด 46 นัด ยิงได้ 5 ประตู
ฤดูกาลนั้นสเปอร์จบอันดับที่11 ในพรีเมียร์ลีก ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพ และสอยแชมป์ลีกคัพมาครองได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ซึ่ง ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามเป็นตัวจริง และลงเล่นครบ 90 นาที ภายหลังจากฤดูกาลนั้น เขาอยู่กับทีมไปถึงปี 2003
ไดลงสนามให้ทีมทั้งหมด 358 นัด ยิง 48 ประตู ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เบอร์มิงแฮม,วูล์ฟแธมตั้น
และ บอร์นมัธ เป็นทีมสุดท้ายในปี 2006-2009
ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ติดทีมชาติอังกฤษ 30 นัด ยิง 7 ประตู เขามีส่วนร่วมกับทีมชาติอังกฤษ ชุดฟุตบอลยูโร 1996 ซึ่งครั้งนั้นอังกฤษผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนแพ้ เยอรมัน ในการดวลจุดโทษ 5-6 ซึ่ง ดาร์เรน แอนเดอร์ตั้น ได้ลงสนามเป็นตัวจริงนอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก ปี 1998 และ ฟุตบอลยูโร ปี 2000 ด้วย
ข่าวฟุตบอล อัพเดทข่าวฟุตบอลได้ที่นี่
- 0
หากพูดถึงมหกรรมฟุตบอลโลกนั้น แน่นอนว่าเป็นมหกรรมฟุตบอลที่แฟนบอลทั้งโลกรอคอย ซึ่งมหกรรมฟุตบอลโลกนั้นมีกระแสตอบรับที่ดีในทุกๆปี รวมไปถึงมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2006 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีเหตุการณ์ต่างๆให้พูดถึงมากมาย แต่ไฮไลท์ของฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ไม่ใช่การคว้าแชมป์ของทีมชาติอิตาลี แต่เป็นเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก ในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนั้น วันนี้เราจะย้อนเวลากลับไปในมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2006 ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

เหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2006
เหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก นั้นเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2006 ในนัดชิงชนะเลิศ โดยเป็นการมาเจอกันของ 2 ยอดทีมแห่งยุโรป ทีมชาติฝรั่งเศสที่นำทัพมาโดย ซีเนอร์ดีน ซีดาน จอมทัพมากประสบการณ์ ที่ประกาศกร้าวจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเพื่อปิดฉากอาชีพฟุตบอลของเขา โคจรมาพบกับทีมชาติอิตาลี ที่แน่นไปด้วยเหล่าซุปเปอร์สตาร์ทุกตำแหน่ง เรียกได้ว่าเป็นฟุตบอลคู่หยุดโลกก็ว่าได้ โดยเกมในนัดนั้นเหมือนว่าจะเป็นใจให้กับ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดยเขายิงประตูขึ้นนำให้กับทีมชาติฝรั่งเศสในช่วงต้นเกม แต่แล้วทีมชาติอิตาลีก็ได้ความเก๋าเกมของ มาร์โก มาเตรัซซี่ ยิงประตูตีเสมอ จนต้องต่อเวลาพิเศษ

และในช่วงต่อเวลาพิเศษนี่เองที่เป็นฝันร้ายของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน แทนที่มันจะเป็นการปิดฉากอาชีพที่สวยงามของเขา แต่กลับกลายเป็นวันที่ มาร์โก มาเตรัซซี่ กลายเป็นฮีโร่ โดยขณะที่เกมในสนามกำลังสนุกและสูสี มาร์โก มาเตรัซซี่ ได้เข้าไปยั่วยุ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดยใช้วาจาที่หยาบคายกล่าวล่วงเกินคุณแม่และพี่สาวของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน ทำให้ซีดานทนไม่ไหว เอาหัวโขกเข้าไปที่หน้าอกของ มาร์โก มาเตรัซซี่ จนเกิดเป็นเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ ซีเนอร์ดีน ซีดาน โดนไล่ออกจากสนามทันที และส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสแพ้ทีมชาติอิตาลีในการดวลลูกจุดโทษในท้ายที่สุด

ฝันร้ายของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน ฟุตบอลโลกปี 2006
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นฝันร้ายที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของ ซีเนอร์ดีน ซีดาน แทนที่เขาจะได้ปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลอย่างสวยหรู กลับต้องมาเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอล เนื่องจากเป็นตัวการทำให้ทีมเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ทำให้ทีมพ่ายแพ้ไปในที่สุด และถึงแม้ว่าเหตุการณ์ เฮดบัตบันลือโลก จะผ่านมานานกว่า 14 ปีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงเป็นที่พูดถึงของแฟนบอลทั่วโลกจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้
ประวัติ ซีเนอร์ดีน ซีดาน
ติดตามข่าวบอลที่คุณไม่ควรพลาดได้ที่นี่
- 0
ฟุตบอลโลกปี 2002 กับเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่า ” โกงบันลือโลก “
แฟนบอลทั่วทั้งโลกนั้นต่างก็รอคอยมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่างฟุตบอลโลก และใน ฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมมาถึง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกได้เกิดขึ้นในทวีปเอเชีย และมีการจัดแบบเจ้าภาพร่วม โดยแฟนบอลทั่วโลกก็ต่างตื่นเต้นและดีใจ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งโลกเนื่องจากคำตัดสินหรือสิ่งต่างๆ ต่างเอื้ออำนวยให้กับทีมเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้จนน่าเกลียด วันนี้เราจะมาย้อนดูว่าเหตุการณ์ฉาวโฉ่ที่กล่าวมาจะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง

เมื่อ ฟุตบอลโลกปี 2002 รอบ 16 ทีมสุดท้าย โคจรมาถึงเป็นการพบกันของยอดทีมจากยุโรปปอย่าง อิตาลี พบกับเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้ ต้องบอกได้ว่าเกมนั้น นักเตะฝั่งเจ้าภาพอย่างเกาหลีใต้เล่นได้อย่างสกปรก และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแฟนบอลทั่วโลก เนื่องจากนักเตะฝั่งเกาหลีใต้ได้เข้าปะทะหนัก เล่นนอกเกมกับนักเตะอิตาลีอยู่หลายจังหวะ จนถึงขั้นมีนักเตะอิตาลี เลือดตกยางออก แต่ผู้ตัดสินในเกมนั้น แจกใบเหลืองให้นักเตะเกาหลีใต้ไปเพียงแค่ 2 ใบเท่านั้น หนำซ้ำยังไม่พอ ผู้ตัดสินยังแจกใบเหลืองใบที่สองให้กับนักเตะอิตาลีอีกด้วย สุดท้ายอิตาลีที่มีผู้เล่นน้อยกว่าต้องตกรอบพ่ายแพ้ไป ด้วยประตู 2-1 ในกฎโกลเด้นโกล

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ฟุตบอลโลกปี 2002 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกาหลีใต้พบกับกระทิงดุสเปน นักเตะเกาหลีใต้และทีมผู้ตัดสินยังทำงามใส้ เช่นเดิม เมื่อสัญญาณนกหวีดเริ่มขึ้นเกาหลีใต้ได้เข้าปะทะอย่างหนักหน่วง แต่ก็ไม่ได้มีบทลงโทษที่รุนแรงจากผู้ตัดสิน และถึงแม้ว่า สเปนจะส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ทางผู้ตัดสินก็ปฏิเสธทุกครั้ง โดยบอกว่า ฟาล์วบ้างบอลออกไปแล้วบ้าง สุดท้ายก็เป็นทีมเจ้าภาพอย่างเกาหลีใต้ที่เอาชนะสเปนไปได้ ด้วยการดวลจุดโทษตัดสิน เข้ารอบรองชนะเลิศไปได้ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลทั่วโลก

การแข่งขันและการตัดสินที่อัปยศสิ้นสุดลงไปเมื่อ ฟุตบอลโลกปี 2002 เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศ โดยเกาหลีใต้ได้โคจรมาพบกับอินทรีเหล็กเยอรมัน โดยก่อนเกมนั้นเยอรมันทำการบ้านมาค่อนข้างดี โดยสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมันยื่นเรื่องให้กับฟีฟ่าว่าหากฝั่งเยอรมันได้รับการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม จะทำการฟ้องร้องสหพันธ์ฟุตบอลเกาหลีใต้ ผู้ตัดสิน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นเกมดำเนินไปได้อย่างขาวสะอาด เมื่อจบเกมฝั่งเจ้าภาพเกาหลีใต้ต้านทานไม่ไหว แพ้ทีมชาติเยอรมันไปด้วยผลสกอร์ 1-0 จบตำนานเหตุการณ์โกงบันลือโลก
- 0
เหตุผลหลักๆที่นักเตะหลายคนไม่อยากเล่นที่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
หากจะพูดถึงลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกแล้วละก็ แฟนบอลหลายๆคนคงจะต้องนึกถึง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นลีกที่ทั่วโลกให้การจับตามอง อีกทั้งมีนักเตะฝีเท้าดีมากมายมาค้าแข้งอยู่ในเวทีพรีเมียร์ลีกอังกฤษ จนมีวลีติดปากที่นักฟุตบอลระดับตำนานหรือคอมเมนเตเตอร์ฟุตบอลหลายๆคนชอบพูดว่า “หากจะพิสูจน์ฝีเท้าว่าตัวเองเก่งจริงหรือไม่ ต้องมาเล่นที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” แต่ก็ใช่ว่านักเตะทุกคนจะสนใจในการมาค้าแข้งในประเทศอังกฤษ วันนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมนักเตะหลายๆคนจึงไม่อยากมาเล่นที่พรีเมียร์ลีกอังกฤษ

เหตุผลข้อแรกคือสไตล์การเล่น ต้องยอมรับว่า สไตล์ฟุตบอลอังกฤษนั้นต่างจากลีกดังๆต่างๆทั่วโลก โดยพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้นเน้นความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายและการเข้าบอลที่หนักหน่วง ทำให้นักเตะชื่อดังหลายๆคน ไม่อยากเอาตัวเองมาเสี่ยงเพราะกลัวหายเจ็บกลับมาแล้วจะไม่เหมือนเดิม หรือไม่สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้ ซึ่งก็มีนักเตะฝีเท้าดีหลายคนที่ไม่สามารถปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษได้ จนไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพได้

เหตุผลข้อที่สอง คือโปรแกรมการแข่งขันที่ถี่มากเกินไป ต้องยอมรับว่า เสน่ห์ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่แตกต่างจากลีกฟุตบอลชั้นนำของประเทศอื่นๆ นั่นก็คือ บ็อกซิ่ง เดย์ โดยเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่เวลาพักค่อนข้างน้อย มีโปรแกรมการแข่งขัน 3-4 นัดใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะตรงกับช่วง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของทุกๆปี นั่นหมายความว่า ที่ประเทศนั้นอังกฤษไม่มีการเบรกหนีหนาว ทำให้นักเตะไม่สามารถกลับบ้านไปฉลองคริสมาสต์กับครอบครัวได้
เหตุผลสุดท้าย ภาษี แน่นอนว่าเรื่องเงินๆทองๆนั้น ไม่เข้าใครออกใคร รวมไปถึงวงการฟุตบอล โดยพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีอัตราการเก็บภาษีนักเตะต่างชาติสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาลีกชั้นนำของยุโรป โดยลีกที่ได้รับความนิยมใกล้เคียงกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น ลาลีก้า สเปน หรือ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี มีอัตราการเก็บภาษีนักเตะต่างชาติ แค่เพียง 43 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

ต้องบอกก่อนว่าเหตุผลที่กล่าวมานั้น ไม่ได้ตัดสินว่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้นไม่ดี เพียงแต่ว่าเป็นเหตุผลหลักๆที่นักเตะและโค้ชหลายๆคนเคยพูดถึง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีนักเตะฝีเท้าดีหลายคนที่สมัครใจมาเล่นที่พรีเมียร์ลีกอังกฤษ และประสบความสำเร็จในอาชีพฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ เพราะสุดท้ายแล้ว การเลือกว่าเราจะเล่นในลีกไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวของนักเตะเอง
- 0
จุดล่มสลายของอาณาจักร กาลาติกอส ความฝันที่พังทลายของแฟนบอลราชัน
เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงจากประเทศสเปน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บอกว่าเป็นสโมสรอันดับ 1 ของโลกก็ว่าได้ โดยนักเตะฝีเท้าดีๆต่างก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยแฟนบอลราชา และแฟนบอลทั่วโลก ได้ให้สมญานามว่ากาลาติกอสวันนี้เราจะมาพูดถึงจุดเริ่มต้นและจุดล่มสลายของ กาลาติกอส
โปรเจค กาลาติกอส เกิดจากไอเดียของ ท่านประธานสโมสรของเรอัลมาดริด อย่าง ฟอเลนติโน่ เปเรซ ที่จะนำเหล่าซุปเปอร์สตาร์ลูกหนังทั่วโลกมาอยู่ในทีมเดียวกัน โดยโปรเจคนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2000 โดยนักเตะคนแรก ที่เรอัล มาดริด ดึงตัวเข้ามาเสริมทัพนั้นคือ หลุย ฟิโก้ จากนั้นก็ตามมาด้วย ซีเนอดีน ซีดาน , โรนัลโด้ , เดวิด เบคแฮม เมื่อมารวมตัวกับ ซุปเปอร์สตาร์ที่มีอยู่แล้วอยู่ในทีม อย่าง อิเคย์ คาซิยาส , โรเบโต้ คาร์ลอส รวมไปถึง ราอูล กอนซาเลซ ทำให้ เรอัล มาดริดในยุคนั้น เป็นทีมที่อุดมไปด้วยนักเตะซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก กองเชียร์เต็มสนาม ส่งผลให้รายรับของสโมสรเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีสปอนเซอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงฐานแฟนบอลที่มากขึ้นทั่วโลก ทำให้ไม่มีที่ไหนในโลก ไม่รู้จักทีม เรอัล มาดริด
เรอัล มาดริด กอบโกยเงินมากมายจากฐานแฟนบอลที่มีมากขึ้นทั่วโลก ทำให้ทีมเรอัล มาดริด มีเกมส์ที่จะต้องเดินทางไปอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น อยู่หลายแห่งทำให้นักเตะเกิดอาการล้า จนส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน เท่านั้นยังไม่พอ นักเตะที่มีฝีเท้าดีแต่ชื่อเสียงไม่ได้ดังเท่าเหล่าซุปเปอร์สตาร์ ถูกปล่อยตัวพ้นทีม เนื่องจากท่านประธาน ฟอเรนติโน่ เปเรซ มองว่า เรอัล มาดริด จะให้ค่าเหนื่อยสูงๆกับนักเตะที่สามารถมีมูลค่าทางการตลาดเท่านั้น จนลืมไปว่านักเตะแนวรับฝีเท้าดี แต่ไม่ได้มีชื่อเสียง ก็สำคัญมากเช่นเดียวกันในเวลาลงแข่งขัน เมื่อประธานสโมสรมองถึงเรื่องธุรกิจเป็นสำคัญ จนละเลยการแข่งขันในสนาม ทำให้ผลงานของทีมเริ่มย่ำแย่ ตั้งแต่ปล่อยนักเตะแนวรับฝีเท้าดี ออกจากทีม บวกกับ เอาใจสปอนเซอร์ จนเกินเหตุ ทำให้นักเตะซุปเปอร์สตาร์ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหาร จนทยอยกันย้ายออกจากทีมไปทีละคน ทำให้เส้นทางของยุคกาลาติกอส สิ้นสุดที่เวลา เพียง 3 ปี
แม้ว่ายุคกาลาติกอส จะสิ้นสุดไปนานแล้ว แต่ในยุคปัจจุบันนั้น สโมสร เรอัล มาดริด ได้กลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งโดยเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน โดยท่านประธานอย่าง ฟอเลนติโน่ เปเรซ ได้สร้างกาลาติกอสขึ้นมาใหม่ โดยดึงดูดซุปเปอร์สตาร์จากทั่วทุกมุมโลก ให้มาอยู่ที่ เรอัล มาดริด และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผลงานที่น่าชื่นชมของกาลาติกอสยุคที่ 2 คือ คว้าแชมป์ยุโรป ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งไม่เคยมีสโมสรไหนในยุโรปทำได้มาก่อนนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากยูโรเปี้ยนคัพ มาเป็นยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์
- 0
The English game : จุดกำเนิดวงการลูกหนังสมัยใหม่บน “แผ่นฟิล์ม”
โดย The English game เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับฟุตบอล ซึ่งจะมีอยู่ 6 ตอนด้วยกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าจะทำให้คนที่สนใจในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ได้เข้าถึงฟุตบอลในยุคสมัยแรก ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นฟุตบอลที่เรารู้จักกันอยู่ทุกวันนี้และก่อนที่ฟุตบอล จะกลายมาเป็นหนึ่งในเกมกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก หรือราว ๆ 4 พันล้านหัวทั่วโลก ในสมัยก่อนนั้น กีฬาฟุตบอลได้ถูกวางกฎต่าง ๆ โดยบรรดาผู้ดีชั้นสูงในเมืองอังกฤษ เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีในวงการลูกหนังว่า ทัวร์นาเมนท์ ‘เอฟเอ คัพ’ ถือเป็นรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สำหรับการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งได้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1872 และหากนับจนถึงปัจจุบันแล้ว ถ้วยใบนี้ก็มีอายุเก่าแก่ถึง 148 ปีเลยทีเดียว
แรกเริ่มเดิมที ฟุตบอลเป็นกีฬาของชนชั้นสูงในสังคม และเขียนกฎกติกากันขึ้นมาเอง ก่อนที่ภายหลังได้มีการตั้งเป็นสมาคมเป็นเรื่องเป็นราวอย่าง ‘The Football Association’ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม FA นั่นเอง ซ้ำยังมีคณะกรรมการบางคนในสมาคม ก็ส่งทีมของตัวเองลงแข่งขันเช่นกัน และเนื่องจากเป็นกีฬาที่มีวิธีการเล่นที่เรียบง่าย ลูกกลม ๆ เพียงลูกเดียว เสาโกล์สองฝั่งที่ไม่ต้องมีตาข่าย ทำให้ฟุตบอลถูกถ่ายทอดไปยังชนชั้นแรงงาน ที่ใช้แค่ไม้ปักดินมาเป็นเสาประตู ก็เล่นกันได้แล้ว โดยเฉพาะในแถบ ‘แลงคาเชียร์’ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือ ซึ่งเป็นย่านของชนชั้นแรงงาน กติกาหลายอย่างยังไม่ชัดเจน รวมถึงระบบการเล่นและแท็กติกที่คล้ายกับกีฬารักบี้ ซึ่งหลาย ๆ ทีมของโรงเรียนในรัฐบาล ก็ยังเล่นกันแบบไม่ตรงกับกติกาเท่าไร
‘โอลด์ เอโตเนียนส์’ หรือ อีตัน (Eton) เป็นทีมที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ FA ที่มีคณะกรรมการลงแข่งด้วย โดยทีมอีตันนั้น มีระบบการเล่นคือ 1-1-8 ซึ่งหากมาพูดในสมัยนี้มันอาจดูเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนั้นมันคือเรื่องจริง ผสานกับแท็กติกโง่ ๆ เลยก็คือ ให้ผู้เล่นวิ่งเกาะกลุ่มกันไป 8 คน ผ่านบอลให้กันในระยะสั้นๆ และด้วยความที่นักเตะ อีตัน มีร่างกายที่ใหญ่ ถึก บึกบึน จึงได้ใช้ความได้เปรียบนี้ในการเล่นแท็กติกนี้ เหมือนเล่นรักบี้ยังไงยังงั้น เฟอร์กัส ‘เฟอร์กี้’ ซูเตอร์ นักฟุตบอลชาวสก็อตแลนด์ ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ว่า เป็นผู้ที่นำร่องของการเล่นแบบ ‘passing’ มาใช้ เพื่อต่อสู้กับการเล่นแบบ ‘สกรัม’ ของทีม อีตัน นั่นเอง ในสมัยนั้น FA มีกฎห้ามนักฟุตบอล เล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ ห้ามรับค่าจ้าง ยกเว้นจะได้รับค่าจ้างนั้นจากการหยุดงานเพื่อเตะฟุตบอล จนกระทั่งในปี 1885 ทาง FA เปลี่ยนกฎให้มีนักฟุตบอลอาชีพได้ ฟุตบอลเริ่มมีการ ‘ย้ายทีม’ รวมถึงมีการรับ ‘ค่าเหนื่อย’ ซึ่ง เฟอร์กัส ‘เฟอร์กี้’ ซูเตอร์ คนนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้น
ท้ายที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะไม่ได้เหมาะกับแฟนลูกหนังทุกคน เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องนอกสนามเสียมากกว่า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกีฬาฟุตบอล รวมถึงการดิ้นรนของบรรดาชนชั้นแรงงานในสังคมที่ถูกกดขี่ แต่อย่างน้อย ในช่วงที่ไม่มีฟุตบอลดูแบบนี้ หนังเรื่องนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยให้เราได้หายคิดถึงฟุตบอลกัน
- 0
บิสซาก้า vs อาร์โนลด์ ใครเป็นนักฟุตบอล กองหลังที่เก่งกว่ากัน
ในช่วงซัมเมอร์ 2019 ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านช่วงเวลาหนึ่งของทีมฟุตบอล ผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายหลังจากพบความยากลำบากมาในฤดูกาลแข่งขันฟุตบอล 2018-2019 นั้นก็เพราะภายหลังจาก ผู้จัดการทีมคู่บุญของทีม เซอร์อเล็กส์ เฟอร์กูสัน ได้โบกมืออำลาการคุมทีมไป ผีแดง ก็มีผู้จัดการทีมสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาคุมทีมฟุตบอลเรื่อยๆ แต่ผลงานการแข่งขันฟุตบอลก็ยังคงเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยจะได้ ในช่วงกลางฤดูกาลแข่งขันฟุตบอล 2018-2019 ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมฟุตบอลอีก 1 คน ของทีมฟุตบอล ผีแดง ก็โดนสั่งปลด แล้วได้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มาคุมทีมฟุตบอลแทน ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่พักหนึ่งจากนั้นผลงานก็กลับมาแย่อีก ผู้บริหารของทีมฟุตบอลออกมาตรการลดค่าเหนื่อย นักฟุตบอล เพื่อจะบีบให้ นักฟุตบอล ทุ่มเทกับการเล่นให้มากยิ่งขึ้น ๆ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายผลของการบีบนักฟุตบอลดังกล่าว กลับกลายเป็นว่านักฟุตบอลดี ๆ หลายคน เริ่มทยอยกันหันหลังหนีออกจากทีมฟุตบอล ผีแดง ที่ตอนนี้บรรยากาศไม่ค่อยจะดีนัก และทีม ผีแดง เอง ทำได้ดีที่สุดนั่นก็คือการใช้โอกาสในช่วงตลาดนักเตะเปิดซัมเมอร์ 2019 พยายามดึงตัวนักเตะฝีมือดีเข้ามาใช้ในทีมให้ได้มากที่สุด ด้วยความหวังว่า จะช่วยให้ทีมมีผลงานการแข่งขันฟุตบอลที่ดีขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ อารอน วาน-บิสซาก้า นักฟุตบอลกองหลังจากทีม ปราสาทเรือนแก้ว คริสตัลพาเลซ
โดย อารอน วาน-บิสซาก้า ถือเป็นนักฟุตบอลเด็กปั้นจากทีมฟุตบอลเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีของปราสาทเรือนแก้ว คริสตัลพาเลซ ซึ่งจากผลงานการเล่นฟุตบอลอันยอดเยี่ยมทำให้เขาได้ขยับขึ้นเล่นในทีมฟุตบอลชุดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของ ปราสาทเรือนแก้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลที่สร้างกระแสได้อย่างมากในช่วงที่มีข่าวออกมาว่า ผีแดง ให้ความสนใจซื้อตัวนักฟุตบอลคนนี้ไปร่วมทีม และในที่สุดเขาก็ย้ายไปอยู่กับทีมฟุตบอล ผีแดง ด้วยราคาค่าตัวสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ซึ่งหลังจากย้ายมาก็ทำผลงานการแข่งขันได้ดีกับทีมฟุตบอลใหม่อย่างมาก จนมักจะถูกนำไปเปรียบมวยกับ เทรนท์ อเล็กซานเฟอร์-อาร์โนลด์ นักฟุตบอลชื่อดังในตำแหน่ง ฟูลแบ็ก แห่งทีมฟุตบอล ลิเวอร์พูล ว่าใครเหนือกว่ากัน เพราะอีกฝ่ายก็ทำผลงานได้ดีกับทีมฟุตบอลตนเอง
ล่าสุดมีข่าวออกมาว่า พาทริค ฟาน อานโฮลท์ อดีตเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลของ อารอน วาน-บิสซาก้า ขณะอยู่ที่ ปราสาทเรือนแก้ว คริสตัลพาเลซ ออกมาแสดงความเห็นสรุปได้ว่า นักฟุตบอลทั้งสองคนที่กล่าวมา ต่างก็มีความเก่งคนละแบบ เทรนท์ อเล็กซานเฟอร์-อาร์โนลด์ นั้น เก่งในเกมรุกมากกว่า แต่ในด้านเกมรับนั้น อารอน วาน-บิสซาก้า เหนือกว่ามาก และเกมรับเองก็สำคัญมากเลยในการเล่นฟุตบอลยุคนี้สมัยนี้